เนื่องในโอกาส วันยุติโทษประหารชีวิตสากล (World Day Against the Death Penalty) 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เครือข่ายยุติโทษประหารชีวิต ประกอบด้วย สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล, มูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม, สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน, Amnesty International, Thailand และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม มีความเห็นว่าการประหารชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์คือสิทธิในการมีชีวิตอยู่ การประหารชีวิตเป็นการกระทำที่โหดร้าย รุนแรง และเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมที่สุด มีผลต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มีความเสี่ยงที่จะตัดสินผิดพลาด ไม่มีระบบใดที่จะสามารถตัดสินได้อย่างเป็นธรรม และไม่มีข้อบกพร่อง การประหารชีวิตที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถเรียกชีวิตกลับคืนมาได้ แม้ในภายหลังจะมีการสอบสวนว่าผู้ที่ถูกประหารชีวิตนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม นักโทษที่ถูกประหารชีวิตส่วนใหญ่ คือ คนยากจนคนด้อยโอกาสซึ่งไม่สามารถว่าจ้างทนายความที่มีความสามารถเพื่อให้ความรู้และแก้ต่างให้กับตนเองได้ การประหารชีวิตไม่ได้ยับยั้งอาชญากรรมรุนแรง หรือทำให้สังคมปลอดภัยขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อสังคม การที่รัฐอนุญาตให้มีการประหารบุคคลนั้น แสดงถึงการสนับสนุนการใช้กำลังและการส่งเสริมวงจรการใช้ความรุนแรง ถึงแม้ว่าโทษดังกล่าวจะไม่เป็นการป้องปรามอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ยังมีการยกเหตุผลอื่น ๆ มาสนับสนุนโทษประหารชีวิตอีก เช่น การบังคับใช้บทลงโทษที่เหมาะสมและได้สัดส่วนความผิด และการให้ความยุติธรรมแก่ผู้เสียหาย อย่างไรก็ดี มีหลายประเทศที่แม้จะคงโทษประหารชีวิตไว้ แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะบังคับโทษประหารชีวิต และเลือกที่จะพักการบังคับโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ และใช้การจำคุกตลอดชีวิตแทนการประหารชีวิต
ดังนั้น เครือข่ายฯ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและทุกภาคส่วนในกระบวนการยุติธรรม ยืนยันเจตนารมณ์ในการยุติการลงโทษที่โหดร้ายและไม่อาจแก้ไขคืนได้นี้ ตลอดจนนำพาประเทศไทยเข้าสู่กลุ่มประเทศที่ ยกเลิกโทษประหารชีวิตอย่างสมบูรณ์แม้ประเทศไทยจะมีความคืบหน้าในการใช้โทษประหารชีวิตลดลงอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่การที่โทษนี้ยังคงมีอยู่ในทางกฎหมายและเคยถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในปี 2561 แสดงให้เห็นว่าเรายังคงมีความเสี่ยงที่จะละเมิด สิทธิในการมีชีวิต อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ โทษประหารชีวิตความผิดพลาดที่ไม่อาจย้อนคืนได้ เราขอย้ำในหลักการสากลว่า โทษประหารชีวิตคือการลงโทษที่ขัดต่อหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และไม่สามารถนำความยุติธรรมที่แท้จริงมาสู่สังคมได้ด้วยเหตุผลหลักดังนี้
ดังนั้น เครือข่ายยุติโทษประหารชีวิต มีข้อเรียกร้องเร่งด่วนและข้อเสนอแนะในการแก้ไขกฎหมายต่อรัฐบาล ดังรายละเอียดต่อไปนี้
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะผู้นำด้านสิทธิในภูมิภาค เราจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการดังนี้อย่างเร่งด่วน 4 ประการ โดยลำดับ ดังนี้
(1) ยกเลิกบทลงโทษประหารชีวิตในทุกฐานความผิด และกำหนดให้ โทษจำคุกตลอดชีวิต เป็นโทษสูงสุดแทน โดยไม่สามารถลดโทษได้ง่ายเหมือนกรณีทั่วไป เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้กระทำผิดร้ายแรงจะถูกจำกัดเสรีภาพอย่างยาวนาน
(2) ทบทวนกฎหมายปราบปรามยาเสพติด: แก้ไขกฎหมายเฉพาะที่ยังคงมีโทษประหารชีวิตที่ ไม่เป็นสัดส่วนกับความผิด (Not Most Serious Crimes) ตามมาตรฐานสากล เช่น กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด โดยการลดโทษสูงสุดลง
(3) ปรับปรุงกระบวนการพิจารณาคดี: สร้างหลักประกันให้ผู้ต้องหาในคดีที่มีโทษสูงได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม
ด้วยความเคารพแห่งคุณค่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
9 ตุลาคม 2568
เครือข่ายยุติโทษประหารชีวิต
สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล, มูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม, สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน, Amnesty International, Thailand และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) Union for Civil Liberty (UCL.)