- บทนำ
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอและแสดงจุดยืนอย่างเป็นทางการต่อประเด็นข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาซึ่งเป็นปัญหาที่มีรากฐานทางประวัติศาสตร์อันซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชาและเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียนและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ชายแดน จุดยืนและข้อคิดเห็นที่นำเสนอในเอกสารนี้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีและยั่งยืนบนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ผลประโยชน์ร่วมกันและความสัมพันธ์อันดีของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมทั้งการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาคมอาเซียนด้วย
ภูมิหลังของปัญหา
ข้อพิพาทแนวชายแดนไทย–กัมพูชามีจุดเริ่มต้นจากความไม่ชัดเจนของการปักปันเขตแดนตาม สนธิสัญญาที่จัดทำขึ้นในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ใช้ในการกำหนดเส้นเขตแดน ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันในเรื่องความถูกต้องและการตีความมาโดยตลอด จุดเปลี่ยนสำคัญจากการตัดสินของ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรณีปราสาทพระวิหารในปี พ.ศ. 2505 ซึ่งตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชา และการตัดสินในปี พ.ศ. 2556 ที่ตีความคำตัดสินเดิม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการกำหนดเส้นเขตแดนโดยรอบพื้นที่พิพาท ความขัดแย้งดังกล่าวปะทุเป็นการขัดกันด้วยอาวุธเป็นระยะๆ ตลอดมา
สถานการณ์ปัจจุบัน: การปะทะกันทางอาวุธเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 บริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) ต่อมาในวันที่ 24 กรกฎาคมทั้งสองฝ่ายได้ใช้อาวุธตอบโต้กันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีษะเกษส่งผลให้ทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย ส่วนพลเรือนในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักของทหารกัมพูชามีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย อาคารบ้านเรือน รวมทั้งโรงพยาบาลได้รับความเสียหาย ส่วนด้านประเทศกัมพูชา ไม่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีพลเรือนได้รับความเสียหาย การปะทะทางทหารได้ส่งผลให้มีการปิดพรมแดน ทำให้ธุรกิจการค้าของสองประเทศหยุดชะงัก มีการตอบโต้กันทางการทูตและสื่อโฆษณา ต่างๆ ทั้งสื่อที่เป็นทางการและสื่อโซเชียล ทางการกัมพูชาเรียกร้องให้แรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ โดยมีการปล่อยข่าวว่าหากไม่เดินทางกลับ ทางการจะยึดที่ดินและครอบครัวจะเดือดร้อน ทำให้แรงงานกัมพูชาจำนวนมากเดินทางกลับประเทศ แม้ทั้งสองฝ่ายได้หยุดยิงนับตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา อันเป็นผลจากการเจรจาที่จัดโดยมาเลเซีย ประธานอาเซียน แต่ความตึงเครียดทางทหาร การปิดพรมแดนและการโฆษณาตอบโต้กันยังดำเนินต่อไป ส่งผลกระทบต่อประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างทั่วด้าน
จุดยืน: สสส. สนับสนุนการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาโดยสันติวิธี ผ่านการเจรจา การสร้างความร่วมมือ และการเคารพสิทธิของประชาชนในพื้นที่ชายแดนจุดยืนของเอกสารฉบับนี้คือการยืนยันว่าการแก้ไขปัญหาต้องอาศัย การเจรจาอย่างต่อเนื่องและสันติวิธี บนหลักการที่ยุติธรรมและโปร่งใส โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้
- หลักการแก้ปัญหาโดยสันติ (Peaceful Settlement of Disputes) :
การเจรจาถือเป็นกลไกหลักตามกฎบัตรสหประชาชาติและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การใช้การเจรจาจะช่วยลดความตึงเครียดทางการเมืองและป้องกันการเผชิญหน้าทางทหาร
- การเคารพหลักอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ:การเจรจาเปิดโอกาสให้ทั้งสองประเทศสามารถ พิจารณาและปกป้องสิทธิอธิปไตยของตนได้อย่างเต็มที่โดยอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และข้อมูล ทางเทคนิคที่ถูกต้อง
- ความสำคัญของการร่วมกันพัฒนา:การสร้างความร่วมมือในพื้นที่ชายแดน เช่น การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ พิเศษหรือโครงการจัดการมรดกทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน จะช่วยเปลี่ยนพื้นที่แห่งความขัดแย้งให้กลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาสทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยคำนึงถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ร่วม ไม่ว่าจะในเชิงพื้นที่หรือเชิงวัฒนธรรม
- คำนึงถึงเป้าหมายของการสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง: ทั้งประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ต่างเป็นสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งมีเป้าหมายหลัก คือ การร่วมมือกันสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งทั้งในด้านประชาคมการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจ และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม เพื่อเป็นประชาคมที่เป็นหนึ่ง ที่มีสันติภาพ เสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในภูมิภาค ภายใต้การเคารพความสำคัญของมิตรภาพและความร่วมมือและหลักการแห่งอธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน การไม่แทรกแซงกัน ฉันทามติและเอกภาพในความหลากหลาย
2. การวิเคราะห์และเหตุผล
1. หลักสิทธิมนุษยชน: ความขัดแย้งทำให้ประชาชนชายแดนเผชิญกับการละเมิดสิทธิ ทั้งสิทธิในความปลอดภัยในชีวิตและร่างกาย สิทธิในที่อยู่อาศัย และสิทธิทางเศรษฐกิจ การทำมาหากิน และประชาชนทั่วไปที่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ปลอดพ้นจากการหลอกลวง ปลุกปั่น ยุยงให้เกิดความรุนแรง การครอบงำและการสร้างความเกลี่ยดชัง
2. หลักกฎหมายระหว่างประเทศ: ไทยและกัมพูชาเป็นภาคีสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ที่กำหนดให้การแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศต้องใช้สันติวิธี เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law หรือ Law of Armed Conflict หรือ Law of War)
3. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: การยืดเยื้อของปัญหาอาจกระทบต่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ และเปิดช่องทางให้ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง เกิดความแตกแยกในอาเซียนและความไร้เสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม: ประชาชนทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดี ประชาชนไทยมีธุรกิจการค้าและการลงทุนจำนวนมากในประเทศกัมพูชา และมีแรงงานกัมพูชาหลายแสนคนทำงานอยู่ในภาคส่วนการผลิตในประเทศไทย ทั้งมีการค้าตลอดแนวชายแดน ประชาชนสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ สังคมและวัฒนธรรมร่วมที่แน่นแฟ้นถ่ายทอดแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้บั่นทอนความสัมพันธ์ดังกล่าว ซึ่งหากปล่อยให้ดำเนินต่อไปยากที่จะรื้อฟื้นให้คืนดีดังเดิมได้
3. ข้อเสนอ
เพื่อบรรลุแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เอกสารฉบับนี้ สสส. จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้
3.1 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระยะสั้น
- ให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ยุติการเสริมกำลังและการยั่วยุทางการทหาร และดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ที่ตกลงกันไว้อย่างจริงจังเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาข้อขัดแย้งโดยสันติวิธีและฟื้นฟูความสัมพันธ์ตามปกติ
- ให้รัฐบาลไทยเรียกร้องต่อรัฐบาลกัมพูชาดำเนินการทันที กรณี การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือโครงสร้างถาวรในเขตพื้นที่พิพาท
- ให้ทหารทั้งสองฝ่ายถอนกำลังออกจากแนวพื้นที่พิพาท กลับสู่ที่ตั้งก่อนการปะทะกันด้วยอาวุธ เพื่อป้องกันการยั่วยุ และเสี่ยงต่อการเกิดความไม่เข้าใจกันและใช้ความรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ
- ขอให้ทางการไทยและกัมพูชางดเว้นการใช้วาทกรรมทางการเมืองหรือสื่อของรัฐ รวมทั้งดูและสื่อโชเชียลและสื่อทางเลือกอื่นๆ ไม่ให้แพร่ข่าวหรือข้อมูลเท็จ (Fake News) หรือข่าวสารที่อาจก่อให้เกิดความเกลียดชัง (Hate Speech) โดยเฉพาะความเกลียดชังทางเชื้อชาติ หรือความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนทั้งสองประเทศ
- ขอให้รัฐบาลกัมพูชาปฏิบัติตามอนุสัญญาออตาวา โดยจัดการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในเขตที่ยังมีข้อพิพาทสิทธิ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเจรจาระดับทวิภาคีที่กำลังดำเนินไปด้วยความก้าวหน้า
- ให้รัฐบาลกัมพูชา ชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน โรงพยาบาลและสิ่งปลูกสร้างของไทยที่มิใช่เป้าหมายในการใช้อาวุธตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
- ขอให้ทางการไทยและกัมพูชาดำเนินการอย่างมีขั้นตอนเพื่อเปิดพรมแดนให้ประชาชนของทั้งสองสามารถเดินทาง ประกอบกิจกรรมต่างๆ ทั้งในทางเศรษฐกิจการค้า ทางสังคม และวัฒนธรรมได้ตามปกติ
- ทางการไทยและกัมพูชาต้องไม่ดำเนินการใดๆที่ขัดแย้งหรือบั่นทอนต่อการสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดโอกาสให้ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงหรือขยายอิทธิพลในประเทศตนและภูมิภาคอาเซียน
3.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระยะกลาง
- การยกระดับกลไกการเจรจาทวิภาคี : เสนอให้มีการใช้คณะกรรมาธิการร่วมด้านเขตแดนไทย-กัมพูชาเป็นหลักในการระงับข้อพิพาททางด้านเขตแดน โดยคณะกรรมาธิการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่เทคนิค เพื่อร่วมกันพิจารณาประเด็นการปักปันเขตแดนที่ยังคงมีข้อถกเถียงอย่างรอบด้านและเสนอหนทางแก้ไขปัญหาอย่างที่มีความยั่งยืน
- รัฐบาลไทยควรมีมาตรการการสื่อสารทางการทูตเข้าสู่กลไกระหว่างประเทศที่เป็นทางการโดยมีความหนักแน่นและรวดเร็วมากกว่านี้
- การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม: รัฐบาลควรสนับสนุนโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบริเวณชายแดน เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่
- การเสริมสร้างความเข้าใจในระดับประชาชน: ส่งเสริมกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การศึกษา และความร่วมมือระหว่างองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีและความสัมพันธ์ที่แนบแน่นในระดับประชาชน
3.3 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระยะยาว
เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาก้าวข้ามความขัดแย้งในอดีตและมุ่งสู่การเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่งในอนาคต สสส. ขอเสนอขั้นตอนต่อไปนี้ให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการอย่างเคร่งครัด 5 ประการ คือ
- ใช้คณะกรรมการร่วมถาวรระหว่างไทยกับกัมพูชาและระดับภูมิภาค เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission or JBC) คณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (General Border Commission or GBC) และ คณะกรรมาธิการชายแดนภูมิภาค (Regional Border Commission or RBC) เพื่อเป็นกลไกการระงับข้อพิพาททางเขตแดนโดยสันติวิธี กำหนดเขตแดนโดยอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และแผนที่ ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่ยอมรับร่วมกัน
- ใช้กลไกระหว่างประเทศ เช่น ASEAN เป็นผู้สังเกตการณ์ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่น
- คุ้มครองทางมนุษยธรรมต่อประชาชนชายแดน โดยจัดตั้งกลไกตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการสู้รบอันขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
- ส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น การค้าชายแดน โครงการร่วมพัฒนา การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการศึกษา
การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติจากกัมพูชาในประเทศไทย ซึ่งควรได้รับความร่วมมือมากกว่าที่เป็นอยู่ เช่น การสื่อสารข้อมูลแรงงานให้ถูกต้องกับประชาชนของตน เพื่อป้องกันการเข้าเมืองผิดกฎหมาย
4. สรุป
สสส. ขอยืนยันว่าการแก้ไขข้อพิพาทแนวชายแดนไทย–กัมพูชาควรดำเนินการด้วยสันติวิธี เคารพหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและหลักกฎหมายระหว่างประเทศด้านมนุษยธรรมและอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น อนุสัญญาออตตาวา การสร้างความร่วมมือและความไว้วางใจซึ่งกันและกันจะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศและความเข้มแข็งของประชาคมอาเซียน จึงจำเป็นต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองที่เข้มแข็งและความร่วมมืออย่างจริงใจจากทั้งสองฝ่าย การยึดมั่นในหลักการเจรจาสันติวิธี ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม จะเป็นรากฐานที่มั่นคงในการสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในภูมิภาค
อ้างอิง (References)
- United Nations. (1945). Charter of the United Nations. https://www.un.org/en/about-us/un-charter
- International Court of Justice. (1962, June 15). Case concerning the Temple of Preah Vihear (Cambodia v. Thailand), Judgment. https://www.icj-cij.org
- International Court of Justice. (2013, November 11). Request for interpretation of the Judgment of 15 June 1962 in the case concerning the Temple of Preah Vihear (Cambodia v. Thailand), Judgment. https://www.icj-cij.org
- United Nations. (1997). Convention on the prohibition of the use, stockpiling, production and transfer of anti-personnel mines and on their destruction (Ottawa Convention). United Nations Treaty Series, 2056, 211. https://www.apminebanconvention.org
- Association of Southeast Asian Nations. (2008). ASEAN Charter. ASEAN Secretariat. https://asean.org/asean-charter/
- International Committee of the Red Cross. (1949). Geneva Conventions and Additional Protocols. https://ihl-databases.icrc.org
- Ministry of Foreign Affairs, Kingdom of Thailand. (n.d.). Thailand-Cambodia relations. https://www.mfa.go.th
- Ministry of Foreign Affairs and International Cooperation, Kingdom of Cambodia. (n.d.). Cambodia-Thailand relations. https://www.mfaic.gov.kh
- United Nations Office for the Coordination of Humanitarian Affairs. (n.d.). International humanitarian law: Protection of civilians. https://www.unocha.org
- ASEAN Institute for Peace and Reconciliation. (n.d.). Conflict management and peacebuilding in ASEAN. https://asean-aipr.org
- International Humanitarian Law https://www.icrc.org/