สสส.เสวนาทัศนะ (ภาคเช้า) ครั้งที่ 13/2564 หัวข้อ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยในรอบปี 2564

สรุปสสส.เสวนาทัศนะ (ภาคเช้า)

ครั้งที่ 13/2564

หัวข้อ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยในรอบปี 2564

วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564

เวลา 10.00-12.30 น. และ 13.30-16.00 น.

ผู้ร่วมเสวนา

1.พรพนา ก๊วยเจริญ

เครือข่ายป่าไม้ – ที่ดิน

10. สุภัทรา นาคะผิว

เครือข่ายด้านสุขภาพ

2.ศักดา แสนมี่

เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมือง

11. สว่าง แก้วกันทา

เครือข่ายผู้สูงอายุ

3.โสภณ หนูรัตน์

เครือข่ายผู้บริโภค

12. อุษา เลิศศรีสันทัด

เครือข่ายผู้หญิง

4.คมสันติ์ จันทร์อ่อน

เครือข่ายชุมชนเมือง

13. ลม้าย มานะการ

เครือข่ายผู้หญิงชายแดนใต้

5.เอกชัย อิสระทะ

เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก

14. นูรซีกิน ยูโซ๊ะ

เครือข่ายสิทธิมนุษยชนชายแดนใต้

6. วาสนา ลําดี

เครือข่ายแรงงาน

15. สุดา บุดชาดี

เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ

7.พุทธิณี โกพัฒน์ตา

เครือข่ายแรงงานนอกระบบ

16. ชูศักดิ์ จันทยานนท์

เครือข่ายคนพิการ

8. สุทธาสินี แก้วเหล็กไหล

เครือข่ายสิทธิแรงงานข้ามชาติ

17. เชษฐา มั่นคง

เครือข่ายสิทธิเด็ก

9.เรวดี ประเสริฐเจริญสุข

เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติ

18. โยธิน ทองพะวา

เครือข่ายเด็กและเยาวชน

เกริ่นนำ

          รายการ “สสส.เสวนาทัศนะ”ได้ดำเนินการเสวนาต่อประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน มาระยะหนึ่งทั้งในประเด็นสิทธิมนุษยชนกับสังคมไทย และสังคมโลกเพื่อสร้างความตระหนักและการรับรู้ทางสังคมในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยให้สมาชิกของสสส.เครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชนกลุ่มต่างๆ          ในสังคมไทยและประชาชนทั่วไป ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร สถานการณ์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และแลกเปลี่ยนแนวคิดสิทธิมนุษยชนกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในทุกมิติ ในปี 2564 นี้เป็นโอกกาสดีที่สมควรทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสังคมไทยในรอบปี อันเป็นที่มาของการเชิญเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม 16 เครือข่าย มาร่วมแลกเปลี่ยนสถานการณ์กันเพื่อสร้างความตระหนักและจัดให้มีข้อเสนอต่อรัฐบาลในการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นในโอกาสต่อๆไป

พรพนา ก๊วยเจริญ เครือข่ายป่าไม้ – ที่ดิน

สถานการณ์ ปัญหาสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินป่าไม้ไม่ดีขึ้นกว่าปีก่อน โดยขอยกกรณีปัญหา 3 กรณีที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขและยังคงต้องการได้รับความชัดเจนในการหาทางออกร่วมกันระหว่างประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนและรัฐบาล นั่นคือปัญหาที่ดินที่บ้านบางกลอย ป่าแก่งกระจานที่เป็นประเด็นทับซ้อนระหว่างป่าอนุรักษ์ กลุ่มชาติพันธุ์และสิทธิในความเป็นมนุษย์ กรณีเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือการเปลี่ยนสีผังเมืองในพื้นที่ EEC หรือโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)[1] และเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ อ.จะนะ จ.สงขลา กรณีบางกลอยนั้นชาวบ้านที่อพยพมาอยู่พื้นที่ที่กรมป่าไม้จัดไว้ให้ตั้งแต่ปี 2539 และตัดสินใจย้ายกลับขึ้นไปอยู่ที่บ้านใจแผ่นดินที่เคยทำมาหากินมากว่า 100 ปี ติดชายแดนไทยพม่า เพื่อกลับไปทำไร่หมุนเวียนเนื่องจากการทำกินในพื้นที่บางกลอยนั้นไม่สามารถดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้ ส่งผลให้มีการจับกุมดำเนินคดีกว่า 30 ราย โดยถูกกีดกันในการเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้พบทนายความ ถูกบังคับให้รับสารภาพว่าบุกรุกป่าอนุรักษ์ ภาครัฐยังมีอคติกับชาติพันธุ์ ไม่ได้รับการดูแลด้านสาธารณสุข เด็กๆขาดสารอาหารเป็นจำนวนมาก โดยไม่สามารถเข้ามาในเมืองเพื่อเข้ารับการรักษาเนื่องจากไม่รู้ภาษาไทย และค่ารถแพง ไม่มีปัจจัยในการเดินทาง กรณีการพัฒนาการใช้ประโยชน์ในที่ดิน EEC นั้นมีกฎหมายผังเมืองบังคับใช้อยู่แล้วก่อนจัดให้มีโครงการนี้ แต่ปรากฏว่า คสช.ได้ออกกฎหมายใหม่เพื่อจัดทำเขตเศรษฐกิจพิเศษที่แตกต่างไปจากที่กฎหมายผังเมืองกำหนด เช่น เปลี่ยนแปลงให้พื้นที่สีเขียวที่ใช้เพาะปลูกกลายเป็นเขตสีม่วงหรือเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม ส่งผลให้มีชุมชนที่ได้รับผลจากการถูกบังคับให้ขายที่ดินหรือถูกเวนคืนโดยไม่ยินยอม เพื่อนำที่ดินไปเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม กลายเป็นคนไร้ที่ดินหรือต้องเช่าที่ดินของตนเองเพื่อทำมาหากิน กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ทำลายวิถีชีวิตชุมชนและการมีส่วนร่วมในการพัฒนา ตามหลักสิทธิการมีส่วนร่วม กรณีของเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ อ.จะนะ จ.สงขลา ก็ไม่แตกต่างกัน ซึ่งรัฐบาลตั้งแต่ยุค คสช.ได้จัดทำเขตเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศกว่า 30 โครงการ

ข้อเสนอของเครือข่าย กรณีบางกลอยแม้มีการตั้งอนุกรรมการตรวจสอบปัญหาต่างๆ โดยมีนายธรรมนัส เป็นประธาน แต่เมื่อถูกปลดออกก็ยังไม่ทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ศักดา แสนมี่ เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมือง

สถานการณ์ ขอเสริมที่พรพณา พูดกรณีบ้านบางกลอยนั้นมีการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชนของชนเผ่าพื้นเมืองด้วย และขออธิบายเพิ่มด้วยว่าชนเผ่าพื้นเมืองนอกจากกลุ่มชาติพันธุ์บนภูเขาแล้วยังรวมไปถึงพี่น้องชนเผ่าที่อยู่ในทะเลในภาคใต้ด้วย ปัญหาสำคัญของชนเผ่า โดยเฉพาะชาวเขายังคงเป็นเรื่องการถูกดำเนินคดีในข้อหาบุรุกป่าตามกฎหมายป่าไม้ และพรบ.อุทยานแห่งชาติ ซึ่งยังคงมีการจับกุมอยู่ทุกวัน

ข้อเสนอของเครือข่าย เครือข่ายเสนอต่อรัฐบาลให้ยุติการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการจับกุมตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ อุทยาน เพื่อให้ชนเผ่าพื้นเมืองสามารถดำรงวิถีชีวิตตามปกติได้ ประเด็นต่อมาเครือข่ายเสนอให้มีกฎหมายสภาชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งมุ่งหมายให้มีสภาของชนเผ่าเป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยนและจัดทำข้อเสนอต่อรัฐ และกำลังมีการเสนอกฎหมาย คุ้มครองชนเผ่าพื้นเมือง ที่จะมีการแถลงข่าวในช่วงเช้านี้ที่รัฐสภา

เอกชัย อิสระทะ เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก

สถานการณ์ นอกจากการได้รับผลกระทบโดยการละเมิดวิถีชีวิตของชุมชนผ่านกฎหมายเขตพัฒนาเศรษฐกิจทั่วประเทศแล้ว เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกยังเผชิญปัญหาจากกฎหมายเหมืองแร่ โครงการจัดทำโรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงโครงการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ที่ส่งผลต่อมลภาวะในการทำเกษตรทางเลือกในพื้นที่ดังกล่าว ปัญหาต่อมาคือสถานการณ์โควิด ส่งผลให้ราคาพืชผลทางเกษตรตกต่ำ แต่การกระจายออกไปสู่ตลาดทำได้ยากหรือทำไม่ได้เพราะติดขัดเรื่องการขนส่ง ตลาดรองรับ พ่อค้าคนกลางที่ไม่เข้ามารับผลผลิตในพื้นที่

ข้อเสนอของเครือข่าย เครือข่ายมีข้อเสนอหลายเรื่องต่อรัฐบาลแล้ว แต่รัฐไม่รับฟังและมีนโยบายส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมมากกว่า อยากให้รัฐบาลรับฟังปัญหาของเกษตรกรมากขึ้น

โสภณ หนูรัตน์ เครือข่ายผู้บริโภค

สถานการณ์ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าของเครือข่ายผู้บริโภค ที่สำคัญคือการผลักดันให้เกิดสภาองค์กรของผู้บริโภคโดยมีกฎหมายรองรับ ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 46[2] ซึ่งเครือข่ายได้ต่อสู้มาอย่างยาวนานตั้งแต่การบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 2550 และเพิ่งดำเนินการรวมตัวกันขององค์กรผู้บริโภค 150 องค์กรไปจดทะเบียนเป็นคณะผู้เริ่มก่อการจัดตั้ง สภาองค์กรผู้บริโภค ประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2563 โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสภาองค์กรของผู้บริโภคเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยสภาองค์กรของผู้บริโภคมีบทบาทในการเป็นปากเสียงของผู้บริโภคในกิจการต่างๆ 8 กลุ่มกิจการ ได้แก่ การเงินการธนาคาร อาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ การขนส่งและยานพาหนะ สินค้าและบริการทั่วไป สื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลบีสารสนเทศ อสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย บริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม บริการสุขภาพ สภาองค์กรของผู้บริโภคมีสำนักงานอยู่ใน 12 จังหวัด ซึ่งคาดว่าจะจัดทำให้ครบทุกจังหวัดในปีหน้า สำหรับเป้าหมายในปี 2564  สภาฯให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในสินค้าและบริการ 4 กลุ่ม คือ ผลักดันให้กำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าอย่างเป็นธรรม การคัดค้านการเข้าร่วมลงนามใน CPTPP ที่ส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนสูงเกินจริง ค่าเครื่องมือแพทย์ที่นำเข้าจะสูง รวมถึงปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งนับแต่ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาที่สภาฯประมาณ 3000 เรื่อง โดยมากเป็นเรื่องของกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการประกันภัยโควิด หรือกรณีโรงงานสารเคมีระเบิดเมื่อเร็วๆนี้ เนื่องจากยังไม่ได้รับการเยียวยาจากการที่บ้านเรือนรอบๆโรงงานได้รับความเสียหาย โดยบริษัทประกันภัยอ้างว่าไม่อยู่ในการคุ้มครองความเสียหายของบริษัท หรือการฉ้อโกงจากการสั่งซื้อสินค้า ทางสภาฯก็ต้องเป็นตัวแทนผู้ได้รับความเสียหายไปเจรจากับบริษัทประกันบ้าง ไปยื่นหนังสือต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบ้าง โดยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาสภาฯได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วม.MOU ระหว่างสภาฯกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องและภาคธุรกิจเอกชน เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าและบริการในตลาดออนไลน์  ผู้ต้องการร้องเรียนสามารถติดต่อได้ทาง เฟสบุ๊ค         “สภาองค์กรของผู้บริโภค” ซึ่งสามารถร้องเรียนได้ตลอด 24 ชั่วโมงหรือโทรศัพท์ 0811349216 ในเวลา       9.00-17.00 น.

คมสันติ์ จันทร์อ่อน เครือข่ายชุมชนเมือง

สถานการณ์ เครือข่ายทำงานกับคนจนเมือง คนเร่ร่อน หรือคนไร้บ้านและเครือข่ายที่ดิน พบว่ามีผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยทั่วประเทศกว่า 1 ล้านครัวเรือน ในขณะที่ข้อมูลของการเคหะแห่งชาติระบุว่ามีกว่า 2.3 ล้านครัวเรือน ซึ่งข้อมูลของนักวิชาการ อ.เดชรัช ระบุว่ามีกว่า 4 ล้านครัวเรือนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง สาเหตุที่คนไทยไร้ที่อยู่เป็นผลสืบเนื่องมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตั้งแต่ปี 2504 ที่คนยากจนในภาคเกษตรต้องขายที่นาเข้ามาหางานในเมืองใหญ่ แล้วกลับไปไม่ได้ ต้องเผชิญชะตากรรมในเมือง กลายเป็นคนยากจนในเมือง ในขณะที่มีที่ดินในความครอบครองของหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจอยู่เป็นจำนวนมากที่ควรนำมาพัฒนาให้แก่คนยากจนแต่ไม่มีการดำเนินการ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทยมีที่ดินกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 2.3 แสนไร่ ใช้เป็นที่ดินเพื่อการเดินรถประมาณ 1.98 แสนไร่ และเป็นที่ดินเพื่อการพาณิชย์ 3 หมื่น 6 พันไร่ ซึ่งจะมีคนจนพักอาศัยใกล้สถานีรถไฟเป็นจำนวนมาก คนเหล่านี้เคยทำงานเป็นกรรมกรในการโยนฟืนให้หัวรถจักรไอน้ำในอดีต จึงมีบ้านพักใกล้สถานีที่การรถไฟอนุญาตให้พักอาศัยได้ จนปัจจุบันกลายเป็นชุมชนแออัดที่สามารถพบเห็นได้ทุกสถานี ใน 36 จังหวัด    คิดเป็น 39000 ครัวเรือน คนรุ่นลูกหลานก็ยังอยู่มาจนปัจจุบัน แต่เปลี่ยนอาชีพเป็นคนทำงานรายวัน รับจ้างต่างๆ คนกวาดขยะ ขับรถเมล์ ฯลฯ ไม่สามารถหาที่อยู่อาศัยที่อื่นได้ เครือข่ายจึงเสนอขอแบ่งปันที่ดินของการรถไฟที่ยังใช้ประโยชน์เพื่อการพาณิชย์แต่ยังไม่ได้ใช้มาให้ชาวบ้านที่ไร้ที่อยู่อาศัย เพื่อให้คนจนเมืองเหล่านี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอยู่ใกล้ที่ทำงานในเมือง โดยขอเช่าในราคาถูก แต่การรถไฟยังไม่ตกลง เนื่องจากที่ดินบางพื้นที่ เช่น แถวมักกะสัน ประมาณ 400 ไร่ ให้ธุรกิจเอกชน (ซีพี) เช่าไป 150 ไร่ ทำรายได้ให้มากกว่า หรือที่สงขลา การรถไฟมีแผนที่จะทำรถไฟรางคู่ ก็จะต้องไล่รื้อชุมชนรอบๆสถานีอีกประมาณ กว่าพันครอบครัว เพื่อจะทำทางไปสู่ท่าเรือน้ำลึก โดยจะเชื่อมกับเขตอุตสาหกรรมพิเศษ อ.จะนะด้วย การไล่รื้อชุมชนแออัดในเมืองใหญ่และการจัดการที่ดินในเขตป่า ส่งผลให้มีการอพยพของชนเผ่าพื้นเมือง เช่นที่เชียงใหม่มีชนเผ่าอพยพเข้ามาทำงานในเมืองและต้องอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดมากขึ้น เป็นเรื่องที่ขัดแย้งต่อวิถีชีวิตของชนเผ่ามาก

ข้อเสนอของเครือข่าย ขอเรียกร้องให้รัฐนำที่ดินของรัฐมาจัดสรรให้แก่ประชาชนที่ไร้ที่อยู่ เช่น เจรจากับการรถไฟจัดสรรที่ดิน 20 ไร่บริเวณมักกะสัน แบ่งปันทำเป็นห้องพักให้คนจนครอบครัวละ 50 ตารางเมตร และขอให้ใช้นโยบายแบ่งปันที่ดินให้คนจนเมือง ขอแบ่งปันที่ราชพัสดุที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานต่างๆแต่ยังไม่มีการใช้ประโยชน์ แต่รัฐบาลยังไม่ตอบรับข้อเรียกร้องดังกล่าว

วาสนา ลําดี  เครือข่ายแรงงาน

สถานการณ์ เครือข่ายทำงานกับคนทำงานในภาคอุตสาหกรรมซึ่งได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานและกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ในช่วงโควิดนี้มีปัญหาการถูกละเมิดสิทธิในด้านการจ้างงาน ถูกเลิกจ้าง นายจ้างปิดงานโดยไม่จ่ายค่าแรง หรือเสนอมาตรการให้ลาออกเองเพื่อหลบเลี่ยงการต้องปฏิบัติกฎหมายแรงงาน ซึ่งตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการที่กระทรวงแรงงานแถลงต่อสาธารณะของการเลิกจ้างต่างๆ คือประมาณ 4 แสนคน แต่ความเป็นจริงก็คงมากกว่านี้ ซึ่งอาจถึง 8 แสนคน แม้รัฐบาลนี้จะพยายามแก้ไขโดยการจ้างงานแก่ผู้จบใหม่ ให้ทำในส่วนราชการเป็นการชั่วคราว โดยจ้างเป็นรายวันให้ในอัตราวันละ 300 บาท จากเกินกู้ต่างประเทศ แต่ก็ยังเป็นแค่บรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าและไม่ครอบคลุมคนว่างงานที่ถูกเลิกจ้าง การจ้างงานชั่วคราวเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิในการทำงานตามที่ตนเลือก เพราะอาจต้องไปทำงานที่ไม่ตรงสาขาที่เรียนและไม่ยั่งยืน ประเด็นต่อมาคือการไม่ได้รับการขึ้นค่าจ้างมานานหลายปีแล้ว ในขณะที่ค่าครองชีพสูงมากทุกปี อีกประเด็นคือการไม่มีสหภาพแรงงานที่สามารถต่อรองการจ้างงานได้ ทำให้ไม่สามารถต่อรองต่างๆ ได้ เช่น เงินประกันสังคมที่นายจ้างและรัฐบาลลดยอดการนำเงินสมทบเข้ากองทุน คนทำงานไม่ต้องการสวัสดิการแบบลดแลกแจกแถม แต่ต้องการให้รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนและยั่งยืนต่อผู้ใช้แรงงานทุกคน การดำเนินคดีในศาลแรงงานก็มีมากขึ้นแต่ไม่สามารถเรียกเงินค่าชดเชยจากนายจ้างได้

พุทธิณี โกพัฒน์ตา เครือข่ายแรงงานนอกระบบ

สถานการณ์ แรงงานนอกระบบ คือคนที่ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง หรือไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทำงาน เช่น ผู้ทำการผลิตที่บ้าน ลูกจ้างทำงานบ้าน ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง หมอนวด ช่างเสริมสวย คนขับรถแท็กซี่ เป็นต้น ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิด ในปี 2563 -2564 นี้ถึง 21.2 ล้านคน เนื่องจากการถูกเลิกจ้างในระบบ และการเปลี่ยนแปลงการจ้างงานของผู้ประกอบการ ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 4% ปัญหาของแรงงานนอกระบบที่พบในปี 2564  ได้แก่ สิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ เข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล การฉีดวัคซีน  การเยียวยาโดยมีเงื่อนไข ผู้ประกอบอาชีพอิสระประกันสังคม ม.40 การลดเงินสมทบของผู้ประกันตน ม.40 นาน 6 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือน ส.ค.64ม.ค.65 สิทธิในการเข้าถึงแหล่งทุน ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่รัฐจัดให้ ทั้งธนาคารออมสิน ไม่มีผู้ค้ำประกันเพราะเป็นอาชีพหาบเร่แผงลอยหรือขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ส่งผลให้ไม่มีหลักประกันการทำงาน ขาดความมั่นคงในการประกอบอาชีพ ทำงานหนักมากกว่า 10 ชั่วโมง ไม่มีเวลาการฝึกอาชีพ พัฒนาความรู้ เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี  สิทธิในการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย โดยเครือข่ายแรงงานนอกระบบได้เข้ายื่นหนังสือถึงกระทรวงแรงงานเมื่อ 7 ธันวาคม 2563 จนกระทั่งมีการจัดตั้ง คณะทำงานติดตามและประสานการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ ซึ่งคณะทำงานฯได้แต่งตั้งอนุกรรมการศึกษาแนวทางการพัฒนาสิทธิประโยชน์และขยายขอบเขตของผู้ประกันตนมาตรา 40 (เฉพาะกิจ) ส่งผลให้มีการลดอัตราดอกเบี้ย 0% กองทุนผู้รับงานไปทำที่บ้าน 12 งวด เริ่ม ต.ค.64

ข้อเสนอของเครือข่าย รัฐต้องรับรองอนุสัญญา ILO 87,98 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคม และสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรอง รัฐต้องรับรองอนุสัญญา ฉบับที่ 189 อนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทำงานบ้าน ค.ศ. 2011 อนุสัญญา ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในที่ทำงาน รัฐต้องมีการประกันการว่างงานสำหรับแรงงานนอกระบบ ปรับสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนทุกมาตราให้เท่าเทียมกัน รวมทั้งปฏิรูปสำนักงานประกันสังคมให้เป็นองค์การอิสระ ที่มีการบริหารโดยผู้ประกันตน และในคณะกรรมการมีสัดส่วนของผู้ประกันตนทุกมาตรา ลดเงื่อนไขการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับประกอบอาชีพของแรงงานนอกระบบทุกกลุ่ม สิทธิในการประกอบอาชีพ ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยต้องเข้าถึงพื้นที่สาธารณะเพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงดูครอบครัว และร่วมกันพัฒนาแนวทางในการบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพมหานคร แก้ไขกฎระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการประกอบอาชีพออกกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน เช่น กำหนดอัตราค่าตอบแทนรายชิ้น ความปลอดภัยในการทำงาน เป็นต้น จัดสรรงบประมาณ สนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เป็นของรัฐโดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการเพื่อให้บริการมอเตอร์ไซต์รับจ้าง และการขายสินค้าและบริการ แทนการใช้แอพพลิเคชั่นของเอกชนที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองในการเข้าร่วม ขยายความคุ้มครองประกันสังคมตามมาตรา 33 แก่ลูกจ้างทำงานบ้าน อันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ อันเกิดจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ สุดท้ายเสนอให้แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 14 คุ้มครองลูกจ้างทำงานบ้าน เช่น ลาคลอดบุตร กำหนดชั่วโมงทำงานที่ชัดเจน เป็นต้น

สุทธาสินี แก้วเหล็กไหล เครือข่ายแรงงานข้ามชาติ

สถานการณ์ แรงงานข้ามชาติก่อนเกิดสถานการณ์โควิดมีจำนวนประมาณ 4 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงาน 3 สัญชาติ คือ พม่า สปป.ลาวและกัมพูชา และมีสัญชาติอื่นๆบ้าง งานที่แรงงานข้ามชาติทำ คืองานไร้ฝีมือที่คนไทยไม่ทำแล้ว เช่น ประมง การขายอาหาร ทำงานบ้าน สวนยาง ซึ่งมักจะได้รับค่าจ้างรายวันโดยไม่เต็มจำนวนตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด คนงานข้ามชาติมักไม่ได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน เช่น ไม่ได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลหากได้รับอุบัติเหตุในการทำงาน  ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือไม่ได้รับการเยียวยาจากกฎหมายประกันสังคมหากถูกเลิกจ้าง

ข้อเสนอของเครือข่าย ให้ขยายการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ให้คนงานข้ามชาติสามารถจัดตั้งสหภาพแรงงานของตนเพื่อการต่อรองกับนายจ้าง และมีข้อเสนอเหมือนเครือข่ายแรงงานนอกระบบ คือ รัฐต้องรับรองอนุสัญญา ILO 87,98 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคม และสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรอง สุดท้ายคือ รัฐต้องจัดการขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติที่คนทำงานต้องจ่ายค่านายหน้าตั้งแต่ 10000-15000 บาท แล้วถูกจับกุม ควรจัดทำให้คนเหล่านั้นได้ลงทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต้องแก้ไขระเบียบให้สามารถลงทะเบียนได้ง่าย ใช้ภาษาของประเทศต้นทาง ที่ไม่ใช่ภาษาไทย รวมถึงคนที่เคยทำงานแล้วต่ออายุไม่ทันหรือมีปัญหาในการต่ออายุ ก็ต้องทำให้ทราบว่ามีทะเบียนอยู่ในประเทศไทย เพื่อการยืนยันตัวตนและจำนวนที่แท้จริงของแรงงานข้ามชาติ ในการบริหารจัดการการให้บริการด้านสาธารณสุขและอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในฐานะมนุษย์

เรวดี ประเสริฐเจริญสุข เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติ

สถานการณ์ เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ และชุมชน เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศและความสมดุลของระบบนิเวศ เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการทรัพยากรและธรรมาภิบาล  ในที่นี้ขอให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็น คือ ความหลากหลายของทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง และวิถีชีวิตประมงชายฝั่งในภาวะโลกร้อน ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญในฐานะที่เราเป็นประเทศส่งออกอาหารทะเลในลำดับต้นๆของโลก แต่ปรากฏว่ามีชาวประมงพื้นบ้านที่ทำมาหากินริมทะเลชายฝั่งเพื่อเลี้ยงปากท้อง กลับต้องเผชิญปัญหาจากความไม่สมดุลในการจัดการทรัพยากรทางทะเล เพราะรัฐให้ความสำคัญกับธุรกิจประมงขนาดใหญ่ ส่งผลให้มีการจับสัตว์ทะเลขนาดเล็ก โดยไม่มีการตรวจสอบ รวมไปถึงทิศทางการพัฒนาประเทศที่ต้องการใช้พื้นที่ชายฝั่งทะเลเพื่อการอุตสาหกรรมและการจัดทำโครงการท่าเรือน้ำลึก โดยไม่คำนึงถึงระบบนิเวศชายฝั่งที่กำลังล่มสลาย สัตว์น้ำเล็กๆจะสูญพันธุ์และเติบโตไม่ทันต่อความต้องการของตลาด เช่น ที่จะนะ หรือชลบุรี และโครงการ EEC เป็นต้น การที่ชาวประมงพื้นบ้านไม่มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการจัดการประมง การท่องเที่ยว การขุดเจาะน้ำมัน

ข้อเสนอของเครือข่าย ข้อเสนอของเครือข่าย คือการเสนอให้มีธรรมาภิบาลในการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มานานกว่า 10 ปี แต่รัฐไม่มีระบบในการทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญ การเขียนให้สิทธิประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมในรัฐธรรมนูญนั้น เป็นแค่คำสวยๆ ที่ไม่เกิดผลเป็นจริงในทางปฏิบัติ ซึ่งเครือข่ายคงต้องทำงานกับชาวบ้านที่ไร้สิทธิไร้เสียงให้สามารถจัดการทรัพยากรธรรมชาติเท่าที่มีอยู่ และคัดค้านการบริหารจัดการของรัฐที่ก่อให้เกิดความไม่สมดุลดังกล่าวให้ได้ต่อไป

[1] โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี )เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกซึ่งเป็นที่รู้จักกว่า 30 ปี หรือที่เรียกว่า อีสเทิร์นซีบอร์ด โครงการ อีอีซี มุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัด

ในภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา แผนการพัฒนาอีอีซี เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ ทั้งทางกายภาพและทางสังคม เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ , ข้อมูลจากเว็ปไซต์ EEC https://www.eeco.or.th/th/government-initiative/why-eec

[2] มาตรา 46 สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครอง

บุคคลย่อมมีสิทธิรวมกันจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภคเพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค

องค์กรของผู้บริโภคตามวรรคสองมีสิทธิรวมกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระเพื่อให้เกิดพลังในการ คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ  ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้งอำนาจในการเป็น ตัวแทนของผู้บริโภค และการสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ