สรุปประเด็นเสวนาวิชาการร่าง “พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ… ประชาชนได้อะไร ?”
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 เวลา 09.00 น. -12.30 น.
ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล (The Sukosol) ห้องรัตนโกสินทร์
จัดโดย สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
สืบเนื่องจากในปีนี้ (2564) สภาได้บรรจุวาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติเข้าสู่การประชุมร่วมกับ ส.ส. และ ส.ว. ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เป็นวาระแรก นำเสนอโดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จากนั้นได้มีการแต่งตั้งกรรมาธิการพิจารณา เพื่อจะนำเนื้อหาเข้าสู่การประชุมวาร ฟะที่สองกลางปีนี้
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) และเครือข่ายเล็งเห็นความสำคัญที่จะทำให้สภามีการพูดคุยเรื่องการปฏิรูปอย่างจริงจัง จึงได้จัดเสวนาวิชาการในครั้งนี้ขึ้น โดยได้รับเกียรติปาฐกถาพิเศษจาก ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ และผู้นำเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้แก่
โดยสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ปาฐกถาพิเศษโดยศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ กล่าวว่า “… รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดประเด็นการปฏิรูปตำรวจ และกระบวนการยุติธรรมไว้ คณะรัฐมนตรีจึงได้ตั้งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานร่างกฎหมายทั้ง พ.ร.บ. องค์กรตำรวจ พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ และ พ.ร.บ.สอบสวนคดีอาญา ต่อมาร่างฯ ดังกล่าวถูกส่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำความเห็น และกลับสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่ามีประเด็นที่ถูกปรับปรุงไปหลายประการ และที่สำคัญที่สุดที่คิดว่าควรจะรักษาไว้คือ
4. ต้องแบ่งสถานีตำรวจออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ เล็ก กลาง ใหญ่ และนายตำรวจที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้กำกับหรือผู้กำกับเป็นครั้งแรก ให้เริ่มจากสถานีระดับเล็กหรือกลางเป็นเวลา 2 ปี จึงจะสามารถดำรงตำแหน่งในสถานีระดับใหญ่ได้
5. สายงานสอบสวนต้องมีสายงานที่ชัดเจน คือ มีผู้บังคับบัญชาของสายงานสอบสวนโดยเฉพาะ เพื่อความเป็นอิสระ ไม่ควรให้ขึ้นกับผู้บังคับบัญชาทั่วไป และกระบวนการมีตั้งแต่ผู้บังคับหมู่ ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน และขึ้นไปถึงรองสารวัตรสายงานสอบสวน ไปจนถึงผู้บัญชาการสอบสวน
6. ควรใช้ระบบการสะสมคะแนนประจำตัวที่ชัดเจน
7. เกณฑ์การย้ายข้ามสายงาน หรือข้ามกองบัญชาการต้องมีความเข้มข้น โดยเฉพาะเรื่องคะแนน การสะสมความรู้ความสามารถ และความอาวุโส
8. ตำรวจบางประเภทในสายงานแพทย์ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ เช่น นิติวิทยาศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องมียศและวินัยแบบทหาร เพราะยิ่งมียศ ยิ่งถูกควบคุมดูแลมาก ซึ่งปัญหาของชั้นยศ คือ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในวิชาชีพของตำรวจ ทำให้การดำเนินการเรื่องของความรู้ หรือองค์ความรู้ต่างๆ ไม่ก้าวหน้า ไม่เจริญ
ตั้งแต่ข้อ 4 – 8 คือ การปฏิรูปที่ใหญ่ที่สุด ทำให้ได้คนที่ดูแลกระบวนการยุติธรรมที่เป็นต้นน้ำ ที่น่าไว้วางใจกว่าเดิม ‘ไม่ว่าระบบจะดีแค่ไหนเพียงไร แต่ถ้าได้คนไม่ดี และคนเหล่านั้น แฝงเร้นเข้ามา อาจจะเป็นคนเก่ง สอบเข้ามาได้ ถูกคัดเลือกเข้ามาได้ มีตำแหน่งหน้าที่การงานใดๆ แต่ไม่มีคุณธรรมเลย ขาดจริยธรรม ขาดการตรวจสอบกระบวนการเหล่านี้ก็ยังจะเป็นกระบวนการที่ทุกข์ทรมานที่สุดที่ประชาชนจะต้องเผชิญ’
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นควรปฏิรูปให้สอดคล้องกับบทบัญญัติใน ม. 258 ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม (4) ของรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งกำหนดให้ข้าราชการตำรวจมีหลักประกัน และได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งและโยกย้าย โดยจะต้องนำเกณฑ์อาวุโส และเกณฑ์ความรู้ความสามารถมารวมพิจารณาประกอบกัน และให้มีการแยกสายงานอย่างชัดเจน เพื่อให้งานสอบสวนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเป็นอิสระ โดยไม่ถูกครอบงำ หรือแทรกแซงโดยผู้บังคับบัญชาหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตหรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบได้โดยง่าย อันเป็นหลักการที่ปรากฏในร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. ที่ยกร่างโดยคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ซึ่งจัดตั้งขึ้นตาม ม.260 ที่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณายกร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. (ชุดของนายมีชัย ฤชุพันธ์) ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 203/2562 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562
ดังนั้นต้องสร้างคนที่ดีงามและมีระบบการตรวจสอบที่ดีเป็นสิ่งที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดความมั่นคงผาสุกกับประชาชนในระบบยุติธรรมและก็จะเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกระบวนการยุติธรรมที่เข้มแข็งเช่นเดียวกับประเทศที่เจริญรุ่งเรืองในอารยประเทศทั้งหลาย…”
ความคิดเห็นจากผู้นำการแสวนา :
สาระสำคัญจากความเห็นของพ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร (เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม) ได้แก่
สาระสำคัญจากความเห็นของผศ.ดร.ธานี วรภัทร์ (หัวหน้าฝ่ายกฎหมายธุรกิจ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต) ได้แก่
สาระสำคัญจากความเห็นของ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง (เลขาธิการพรรคประชาชาติ และรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ) ได้แก่
ข้อมูลเพิ่มเติม จาก สยามรัฐออนไลน์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564
ที่มา : https://siamrath.co.th/n/223999
พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง กล่าวว่า “…งานหลักที่เป็นกระดูกสันหลังของงานตำรวจก็คือโรงพัก สิงที่ต้องปฏิรูปคือสถานีตำรวจ กับบุคลากรตำรวจที่ปฏิบัติงานยังสถานีตำรวจ และหน่วยงานกลางที่ทำงานหลักด้านปัญหาอาชญากรรม กรณีสถานีตำรวจ ที่งานตำรวจจะเริ่มและจบที่สถานีตำรวจ ข้อเสนอในการปฏิรูปแก้ไข ร่าง พ.ร.บ. ตำรวจ เรียวว่า “5 ส. และ 2 ต” คือ
ส. ที่ 1 “สิทธิ์ของประชาชนได้เป็นเจ้าของตำรวจ” จะต้องทำยังไงจะให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนเป็นตำรวจของประชาชนในการกำหนดภารกิจบทบาทอำนาจหน้าที่เพิ่มในมาตรา 6 ดังนี้
(4) “รักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชนและความมั่นคงของราชอาณาจักรเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน”
(6) แก้ไขถ้อยคำ “ช่วยเหลือการพัฒนาประเทศตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย” แก้ไขเป็น “บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน และดูแลรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะ”
ส. ที่ 2 “สายตรวจ” คืองานป้องกันอาชญากรรม และการรักษาความสงบเป็นหน้าที่ตำรวจสายตรวจ ต้องให้ความสำคัญ ถือเป็นกระดูกสันหลังของตำรวจ จะต้องได้รับการพัฒนา ฝึกอบรมเสริมสร้างความรู้ความสามารถและมีเส้นทางการเจริญก้าวหน้าถึง ผบ.ตร. ได้
ส. ที่ 3 “สายสืบ” ตำรวจสายสืบเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน เพื่อทราบการกระทำผิด และรักษาความไม่สงบเรียบร้อย จะต้องได้รับการพัฒนา ฝึกอบรมเสริมสร้างความรู้ความสามารถ และมีเส้นการเจริญก้าวหน้าถึง ผบ.ตร. ได้
ส. ที่ 4 “สอบสวน” จะต้องได้รับการพัฒนา ฝึกอบรมเสริมสร้างความรู้ความสามารถ และมีเส้นการเจริญก้าวหน้าไปเทียบเคียง อัยการ ศาล และองค์กรอิสระอื่น สามารถมีความเจริญก้าวหน้าถึง ผบ.ตร. ได้ เนื่องจากงานสอบสวนตำรวจ ที่ต้องรวบรวมพยานหลักฐาน พิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธ์ เป็นจุดเริ่มของกระบวนการยุติธรรมที่เป็นงานหนักมาก ปัญหาเฉพาะหน้าของงานสอบสวนที่ถูกละเลย คือ ป.วิ.อาญา มาตรา 140 ที่บัญญัติว่าเมื่อการสอบสวนเสร็จ ให้ “พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ” หรือผู้เป็นหัวหน้า มีความเห็น “สั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้อง หรืองดการสอบสวน” คือรากเหง้าของปัญหาความเป็นธรรม และไม่อิสระของพนักงานสอบสวนเพราะให้อำนาจกับคนคนเดียว แม้คดีตั้งเป็นคณะพนักงานสอบสวนมากถึง 10,000 คน ทุกคนมีความเห็นสั่งฟ้อง แต่ถ้าผู้เป็นหัวหน้า อาจเป็น ผบ.ตร. หรือผู้บัญชาการตำรวจ หรือผู้การตำรวจ หรือผู้กำกับการตำรวจ ตามที่มีระเบียบมอบหมาย สามารถมีความเห็นต่างจากคณะพนักงานสอบสวนที่สั่งฟ้อง สั่งไม่ฟ้อง หรืองดการสอบสวนได้ ไม่มีการถ่วงดุลแต่อย่างใด จำเป็นต้องแก้กฎหมาย ป.วิ.อาญา อาจเหมือนลักษณะศาลปกครองให้เป็นองค์คณะ อีกประการ พนักงานสอบสวนเสร็จแล้ว ส่งสำนวนให้อัยการจะหมดอำนาจสอบสวนเลย พนักงานสอบสวนจะสอบในคดีนั้นได้ต่อเมื่อพนักงานอัยการสั่งให้สอบเพิ่มเติม เมื่ออัยการเป็นสั่งฟ้องนำตัวไปฟ้องศาล ถ้าสั่งไม่ฟ้องสำนวนไปที่ ผบ.ตร. กับ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ว่าจะมีความเห็นแย้งพนักงานอัยการหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับพนักงานสอบสวน จำเป็นต้องมีระบบตรวจสอบและถ่วงดุลขึ้น
ส. ที่ 5 “สวัสดิการและงบประมาณ” ที่เหมาะสมและดำรงตนอยู่ได้ ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับงบประมาณค่อนข้างมากที่นำไปลงทุนในภารกิจไม่ใช้งานตำรวจ รวมถึงขนาดซื้อเครื่องบินที่นักธุรกิจใช้เป็นเครื่องส่วนตัว จะเป็นต้องมีการปฏิรูประบบงบประมาณตำรวจ ให้ใช้ในเป้าประสงค์ภารกิจตำรวจที่ขาดแคลน และสวัสดิการในการดำรงชีพ
ปฏิรูปอีก “2 ต.” คือ
ตที่ 1 “แต่งตั้ง” ระบบการแต่งตั้งที่เป็นธรรมต้องแก้ไขมาตรา 14 คณะกรรมการ ก.ตร ที่ต้องมีตัวแทนของประชาชน และมีสัดส่วนให้ข้าราชการตำรวจทุกคนในจำนวน 2 แสนคนมีส่วนร่วมด้วย ที่เปิดกว้างให้ผู้มีความรู้ ความสามารถเป็น ก.ตร.ได้ และต้องสร้างความเป็นธรรมให้ข้าราชการตำรวจทุกคน โดยเฉพาะตำรวจส่วนใหญ่ประมาณ 2 แสนตำแหน่ง ตามมาตรา 69 (12)(13) วรรค 5 วรรค6 และมาตรา 73 (3)
ตที่ 2 “ตรวจสอบและประเมินผล” การใช้อำนาจของตำรวจละกฎหมายที่ให้ตำรวจปฏิบัติซึ่งมีโทษทางอาญาที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ หลักสิทธิมนุษยชนต้องเร่งแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้มีการตรวจสอบประเมินผลโดยประชาชนหรือชุมชนพื้นที่
อัตลักษณ์ตำรวจต้องคงไว้อัตลักษณ์วัฒนธรรมและค่านิยมที่ดีงามของตำรวจด้านคุณธรรมในวิชาชีพตำรวจต้องคงไว้และในร่างพ.ร.บ.ตำรวจฯ ไม่มีปรากฏชัดเจนในเรื่องวัฒนธรรมองค์กร ที่สำคัญคือ อุดมคติตำรวจ (เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่ กรุณาปราณีต่อประชาชน …ไม่มักมากในลาภผล ดำรงตนในความยุติธรรม…ฯ ) และคำปฏิญาณตำรวจ (…ข้าพเจ้า จะยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อระงบทุกข์และบำรุงสุขให้แก่ประชาชนตามหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษกร์…ฯ) ที่ต้องมีเป็นหลักตำรวจต้องยึดมันประจำใจไว้…”
สาระสำคัญจากความเห็นของ พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกลและคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ) ได้แก่
1) การให้สินบน คือ คนให้และคนรับ ควรเขียนว่า ‘ถ้าใครออกมาแฉก่อนก็จะไม่มีความผิด’
2) หากคนในองค์กรรัฐเห็นเรื่องทุจริตต่างๆ สามารถเอาเรื่องนั้นออกมาเผยแพร่สาธารณะได้ โดยที่กฎหมายคุ้มครองไว้ว่าไม่มีความผิด
สาระสำคัญจากความเห็นของ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พรรคเพื่อไทย) ได้แก่
สาระสำคัญจากความเห็นของ นายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พรรคประชาธิปัตย์) และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ) ได้แก่
สาระสำคัญจากความเห็นของ พญ.คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ (สมาชิกวุฒิสภา และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ) ได้แก่
สาระสำคัญจากความเห็นของ นางสมศรี หาญอนันทสุข (กรรมการ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)) ได้แก่
ความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมเวทีเสวนา :
ประพจน์ ศรีเทศ (เครือข่ายสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) เขตภาคเหนือ) กล่าวว่า “…ร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ ฉบับนี้ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน ดังนั้น จะทำอย่างไรให้ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด เพราะถ้าถามชาวบ้านในจังหวัด ชาวบ้านไม่รู้จักแน่นอนว่าตำรวจ ก ต่างๆ คือใคร?….”
ศยามล ไกยูรวงศ์ (เครือข่ายสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)) กล่าวว่า “…ต้นทางของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา คือ งานสอบสวน ซึ่งพบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ถ้ายังไม่แก้เรื่องการปฏิรูปงานตำรวจ หรืองานสอบสวน ปัญหาก็ยังคงเกิดขึ้นเพราะต้นทางอยู่ตรงนี้ ไม่พ้นเรื่องการสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้นของการแสวงหาพยานหลักฐาน หรือการทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเป้าหมายสำคัญ ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ ต้องปรับโครงสร้างทั้งหมด
เห็นด้วยกับงานสืบสวนสอบสวนให้เป็นงานวิชาชีพรวมถึงงานนิติวิทยาศาสตร์งานสายวิชาชีพทั้งหมดซึ่งจะต้องไม่มียศตำแหน่ง
การแสวงหาข้อเท็จจริงต้องทำงานเป็นทีมตั้งแต่งานสืบสวนงานสอบสวนและงานอัยการต้องไปด้วยกันต้องมีเครื่องมือและมีงบประมาณเพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองสิทธิการกระจายอำนาจควรไปที่ระดับจังหวัดจะเหมาะสมมากที่สุด
ประเทศไทยมีการตั้งกรรมการระดับชาติแบบรวมศูนย์อำนาจทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันสถานการณ์ควรมีในระดับจังหวัดโดยออกแบบให้ประชาชนในจังหวัดเข้ามาร่วมด้วยกับกลไกของภาคประชาสังคมหรือคนในระดับจังหวัดร่วมในการประเมินประสิทธิภาพการทำงานประเมินการจัดระบบข้อมูลรวมทั้งการตรวจสอบตำรวจที่เข้าไปในการทำงานแบบนี้จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพและท้องถิ่นได้เรียนรู้ที่จะต้องออกแบบระบบการบริหารจัดการจังหวัดของตนเอง…”
นายไพศาล ภิโลคำ (อดีตกรรมการ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)) กล่าวว่า “…การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จุดบริการจุดแรก (one stop service) ระดับโรงพักเป็นสิ่งจำเป็น การปฏิรูปต้องปฏิรูปทั้งองค์กร และให้อำนาจกับคณะกรรมการไกล่เกลี่ยระดับอำเภอเข้าไปช่วยโรงพักตาม พ.ร.บ. ไกล่เกลี่ยปี 2562 และประชาชนต้องเข้าถึงโรงพัก คือ ไปโรงพักแล้วไม่ต้องถอดรองเท้าและไม่ถูกมองเรื่องระบบชนชั้น สิ่งที่อยากเสนอไว้สำหรับครั้งต่อไป คือ ต้องสร้างเครือข่ายสถาบันการศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชน เครือข่ายนักกฎหมาย เครือข่ายทนายความ และเชื่อมโยงกับสื่อมวลชนทำเรื่องการสื่อสาร และระดมข้อมูลเพื่อเป็นพลังในอนาคต…”
อาจารย์ขรรค์เพชร ชายทวีป (ผู้แทนภาคอีสาน) คณบดีคณะนิติศาสตร์ กล่าวว่า “…การเลือกคณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ ควรเปิดพื้นที่ให้กับตำรวจชั้นประทวนด้วย และไม่เข้าใจว่าทำไมยศของผู้หญิง ต้องมีคำว่า ‘หญิง’ ด้วย แต่ผู้ชายไม่มี ประเด็นสำคัญในกระบวนการยุติธรรม ควรเป็นองค์กรกลุ่ม หรือคณะบุคคลเพื่อถ่วงดุลอำนาจ และประเด็นสุดท้าย ไม่แน่ใจว่าร่าง พ.ร.บ. นี้ มีการรายงานผลการดำเนินงานให้สภาฯ ทราบหรือไม่? เพราะจะเป็นกลไกที่เชื่อมโยงไปถึงประชาชนได้…”
บัณฑิต แป้นวิเศษ (มูลนิธิเพื่อนหญิง) กล่าวว่า “…คณะกรรมการมีหลายชุด แต่ไม่ค่อยเห็นสัดส่วนของผู้หญิงเข้าไป อันนี้เป็นปัญหาในเชิงทัศนคตินำมาสู่เรื่องของการลงไปสู่ภาคปฏิบัติ เช่น กรณีผู้หญิงถูกใช้ความรุนแรงในมิติต่างๆ ในชั้นพนักงานสอบสวน หรือตำรวจเองก็ยังมีทัศนคติในการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ไม่ให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นคณะกรรมการต่างๆ ควรมีสัดส่วนของผู้หญิงเข้าไป และการปฏิรูปตำรวจ ควรจะมีการกระจายอำนาจ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม
สรุปความคิดเห็นจากผู้นำการเสวนา :
พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร (เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม) กล่าวว่า “…หัวใจของร่าง พ.ร.บ. คือ ตอบโจทย์หรือปัญหาของสังคมปัจจุบันหรือไม่ เช่น ตำรวจก่ออาชญากรรม การรับส่วย สินบนรายเดือน ตำรวจไม่รับความร้องทุกข์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก การล้มคดี การทำลายพยานหลักฐาน การยัดข้อหาประชาชน เป็นต้น…”
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง (หัวหน้าพรรคประชาชาติ) กล่าวว่า “…ประเด็นแรกอยากให้มีประเด็นย่อย คือ ตำรวจเป็นแค่ระบบย่อยในสังคม และเป็นระบบย่อยในกระบวนการยุติธรรม ทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน หรืองานรักษาความสงบประมาณ 70% งานเรื่องกระบวนการยุติธรรมก็เป็นเบื้องต้น กระบวนการยุติธรรมจะมีความยุติธรรมไหม ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมอื่นไม่ยุติธรรมแล้วมาโยนให้ตำรวจ ประเด็นที่สอง จะทำอย่างไรให้ประชาชนได้ประเมินผล ตรวจสอบ มีผลในการชี้ แต่งตั้งโยกย้าย ถ้าตำรวจไปสร้างปัญหาให้ประชาชน ประเด็นที่สามในอัตลักษณ์หรือสังคมตำรวจ จะทำอย่างไรให้ตำรวจยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อระงับทุกข์ บำบัดทุกข์บำรุงสุขหรือรักษาความยุติธรรม เรื่องโครงสร้าง 5 ส. (สิทธิของตำรวจต้องเป็นสิทธิของประชาชน สายตรวจ สายสืบ สอบสวน ระบบตรวจสอบหรือสิทธิมนุษยชน) จะทำอย่างไรถึงจะพัฒนาคนกลุ่มนี้ให้มีความรู้สึกว่าตำรวจเป็นแพทย์ ไม่จำเป็นต้องมียศ…”
พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พรรคก้าวไกล) กล่าวว่า “…การแก้กฎหมาย พ.ร.บ. ตำรวจ หรือรัฐธรรมนูญ เป็นการแก้ที่ระบบ การเขียนกฎหมายก็คือการสร้างสภาพแวดล้อมให้คนที่อยู่ในระบบ ทำให้ดีขึ้น อยากชวนให้ทุกคนใส่ใจทำให้ระบบดีขึ้น…”
พญ.คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า “…สำนักกิจการยุติธรรมของกระทรวงยุติธรรมมีขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 2540 ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็ต้องกลับไปตามดูว่าทำไม และสุดท้ายกระทรวงยุติธรรมจะได้เปลี่ยนจากเกรด C เป็น เกรด A ได้อย่างไร…”
นางสมศรี หาญอนันทสุข (กรรมการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)) กล่าวว่า “…เมื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ แล้ว อย่าละเลยหรือพยายามให้ พ.ร.บ. สอบสวนแท้ง หรือหายไปด้วยผลทางการเมือง เพราะฉบับนั้นได้กล่าวถึงการตรวจสอบจากอัยการ และเรื่องเงินเดือนของตำรวจควรจัดการภายใน…”
นายสมชาย หอมลออ (อดีตคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และที่ปรึกษามูลนิธิผสานวัฒนธรรม) กล่าวว่า “…ร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ ฉบับนี้ ยังเป็นปะผุอยู่ ดังนั้น ต้องผลักดันให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในเรื่องการปฏิรูปตำรวจ และปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม…”
นิกร วีสเพ็ญ (ประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)) กล่าวว่า “…บทสรุปที่ได้ในวันนี้ทั้งหมด จะถูกนำมาสรุปเป็นประเด็นและไปยื่นให้กับกรรมาธิการฯ เพื่อเป็นประโยชน์ที่จะนำไปแลกเปลี่ยนถกเถียงถึงข้อดี และข้ออ่อนในร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติที่อยู่ในชั้นกรรมาธิการฯ ขณะนี้…”
******************************
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) Union for Civil Liberty (UCL.)