จดหมายเปิดผนึกถึงสถาบันตุลาการ
ประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และศาลยุติธรรมทั่วประเทศ
เผยแพร่ ณ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๓
จากกรณีประชาชน นิสิต นักศึกษา ที่มีความเห็นแตกต่างจากรัฐบาลได้ใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เสนอข้อเรียกร้องต่างๆ ต่อรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง สื่อมวลชนได้รายงานข่าวว่ามีการออกหมายจับบุคคลจำนวน ๓๑ รายชื่อ และได้มีการจับกุมบุคคลตามหมายจับ อาทิ นายอานนท์ นำภา , นายภาณุพงศ์ จาดนอก , นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ต่อมาในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ ได้มีการจับกุมนายอานนท์ นำภา อีกครั้ง ขณะไปปฏิบัติหน้าที่ทนายความ ณ ศาลอาญา จากการปราศรัยเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ รวมทั้งได้จับกุมบุคคลผู้มีรายชื่อตามหมายจับอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งวันนี้ โดยเจ้าพนักงานตำรวจยื่นคำร้องขอออกหมายจับต่อศาลโดยไม่ได้ออกหมายเรียกบุคคลก่อนแต่อย่างใด ทั้งที่ความปรากฏเป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่านายอานนท์ นำภา และประชาชนผู้ใช้เสรีภาพในการชุมนุม มีเจตจำนงค์ในการใช้เสรีภาพในการชุมนุมอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และแสดงออกชัดเจนว่าหากมีหมายเรียกจากเจ้าพนักงานตำรวจ จะเข้าพบแต่โดยดี และเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ ผู้มีรายชื่อตามหมายจับทั้งหมดยังได้ไปแสดงตัวกับเจ้าพนักงานตำรวจ ณ สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) และองค์กรที่ร่วมลงนามท้ายจดหมายฉบับนี้ เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้ถูกพัฒนาให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ จากเดิมที่พนักงานสอบสวนมีอำนาจออกหมายจับ ต่อมา “ศาล” เป็นเพียงองค์กรเดียวที่มีอำนาจตามกฎหมายในการออกหมายอาญาได้ ทั้งนี้ เนื่องจากการออกหมายอาญา โดยเฉพาะหมายจับ เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายที่กระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคลอย่างร้ายแรง การใช้ดุลพินิจของศาลในการอนุญาตหรือยกคำร้องขอออกหมายอาญา จึงถือเป็นกลไกการสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจ สสส. และองค์กรที่ร่วมลงนาม จึงมีข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้
ประการแรก ศาลควรใช้ดุลพินิจโดยอิสระในการกลั่นกรองหลักฐานตามสมควรอันเป็นเหตุในการออกหมายจับหรือหมายค้น เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่จากสถิติในการออกหมายจับและหมายค้นของศาลทั่วราชอาณาจักรในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๘ พบว่าศาลได้อนุญาตออกหมายจับตามคำร้องเป็นจำนวนกว่าร้อยละ ๙๔.๓๗ และอนุญาตออกหมายค้นตามคำร้องเป็นจำนวนกว่าร้อยละ ๙๕.๙๐ จากคำขอทั้งหมด จึงชี้ให้เห็นว่าศาลอาจจะใช้แทบจะมิได้ใช้ดุลพินิจในการกลั่นกรองหลักฐานตามสมควรอันเป็นเหตุในการออกหมายจับหรือหมายค้นโดยละเอียดอีกชั้นหนึ่งแต่อย่างใด[1] และเช่นเดียวกับสถิติการออกหมายจับของศาลระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๒ มีคำร้องขอออกหมายจับจำนวน ๓๒,๖๒๘ คำร้อง ศาลมีคำสั่งอนุญาต ๒๙,๓๑๕ คำร้อง (๙๐%) ไม่อนุญาต ๒,๔๕๑ คำร้อง (๘%) อยู่ระหว่างพิจารณา ๕๗๑ คำร้อง ผู้ร้องขอยกเลิก/เพิกถอน ๒๙๑ คำร้อง[2]
ประการที่สอง ศาลควรใช้ดุลพินิจเหตุที่จะออกหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๖๖ (๒) วรรคแรก ที่บัญญัติว่า “เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น และวรรคสอง “ถ้าบุคคลนั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี” ซี่งในหลายกรณีที่ผ่านมา รวมถึงกรณีของบุคคลผู้ถูกจับโดยหมายศาลดังกล่าวข้างต้น แม้จะเป็นการใช้ดุลพินิจโดยอาศัยเหตุแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๖๖(๑) เพียงประการเดียวก็ตาม แต่ในการใช้ดุลพินิจของศาลในการออกจับตามคำร้องของพนักงานสอบสวนที่จะมีขึ้นในอนาคต สสส. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า “ศาล” ในฐานะ “สถาบันตุลาการ” จะใช้ดุลพินิจกลั่นกรองเหตุในการออกหมายจับของเจ้าพนักงานตำรวจให้เคร่งครัดมากขึ้น และหากพิจารณาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๖๖ ประกอบกับเจตนารมณ์แท้จริงแห่งกฎหมายแล้ว จะเห็นได้ว่ากฎหมายไม่ได้บังคับตายตัวว่าศาลต้องอนุญาตให้ออกหมายจับหากเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีตามมาตรา ๖๖(๑) เพราะหากเป็นเช่นนั้น เท่ากับว่าในคดีที่มีอัตราโทษสูงเกิน ๓ ปี ศาลต้องออกหมายจับตามคำร้องฯ ซึ่งการตีความในลักษณะดังกล่าวย่อมเป็นการละเลยสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชนตั้งแต่ต้นทาง สสส. เห็นว่านอกจากมาตรา ๖๖(๑) แล้ว มาตรา ๖๖(๒) ได้เปิดช่องให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาออกหมายจับหรือยกคำร้องขอออกหมายจับของเจ้าพนักงานตำรวจได้
ประการที่สาม ดุลพินิจของศาลในการอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาตามคำร้องของเจ้าพนักงานตำรวจ เป็นดุลพินิจที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะต้องปรากฏเหตุและพฤติการณ์อันจำเป็นในการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐ แต่เมื่อพิจารณาจากฐานความผิดที่ถูกกล่าวหา ส่วนใหญ่เป็นการปราศรัยต่อสาธารณะ ซึ่งพนักงานสอบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานการปราศรัยได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยอำนาจศาลในการฝากขังแต่อย่างใด หากศาลอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาทั้งที่ไม่ปรากฏเหตุและพฤติการณ์อันจำเป็นเพียงพอ ย่อมเป็นการใช้อำนาจศาลรับรองการใช้อำนาจที่ล้นเกินของเจ้าพนักงานตำรวจ ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้น เพื่อไม่ให้มีการอาศัยอำนาจของสถาบันตุลาการในการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐโดยปราศจากเหตุอันสมควรอย่างแท้จริง อันถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐที่คุกคามต่อสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และมีข้อสงสัยอันเชื่อได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าพนักงานตำรวจมิได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อพิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ทำตามคำสั่งรัฐบาล สสส. และองค์กรที่ร่วมลงนาม จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สถาบันตุลาการ จะทำหน้าที่กลั่นกรอง ตรวจสอบ ถ่วงดุลการใช้อำนาจดังกล่าวอย่างเป็นอิสระ ปราศจากอคติทั้งปวง ตามประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ หมวด ๑ ว่าด้วยอุดมการณ์ของผู้พิพากษา กำหนดหน้าที่ของผู้พิพากษาไว้ในข้อ ๑ ไว้ว่า
“หน้าที่สําคัญของผู้พิพากษา คือ การประสาทความยุติธรรมแก่ผู้มีอรรถคดี ซึ่งจักต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เที่ยงธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย และนิติประเพณี ทั้งจักต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่าตนปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน เพื่อการนี้ผู้พิพากษาจักต้องยึดมั่นในความเป็นอิสระของตนและเทิดทูนไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งสถาบันตุลาการ”
ด้วยความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
มูลนินิธผสานวัฒนธรรม (CrCF)
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA)
มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)
สำนักกฎหมายเอ็น เอส พี
สำนักงานทนายความเดอทเวันตี้โฟร์ลอว์เยอร์
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
ศูนย์เผยแพร่และส่งเสริมงานพัฒนา (ผสพ.)
มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน(CRC)
ศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม
[1] “การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนกรณีการใช้ดุลพินิจออกหมายค้น หมายจับ โดยศาล” โดย ฐิตชัย มุ่งสันติ , ๒๕๕๗
[2] https://oppb.coj.go.th/th/content/category/detail/id/8/cid/2101/iid/169819
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) Union for Civil Liberty (UCL.)