ที่ สสส. 012/2563                                     

วันที่  15 เมษายน 2563

เรื่อง  ขอให้ดำเนินการการปล่อยตัวผู้ต้องขังเพื่อความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดโควิด19

 

เรียน  นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา

 

           โดยที่ไวรัสโควิด19 ได้แพร่ระบาดอย่างร้ายแรง จนทำให้รัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีการกำหนดมาตรการห้ามคนออกนอกบ้าน การปิดเมืองบางพื้นที่ การงดการรวมกลุ่มของคนจำนวนมาก แนะนำให้ประชาชนอยู่กับบ้าน การสวมหน้ากากอนามัย และให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่มาตรการงดการอยู่รวมกลุ่มกัน หรือให้เว้นระยะห่างทางสังคมไม่สามารถนำมาใช้สำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ต้องขังทั้งประเทศ จำนวน 377,769 คน ซึ่งเกินความจุเรือนจำอยู่กว่า 123,000 คน เป็นสภาวะคนล้นคุก กระทั่งกรมราชทัณฑ์ได้ออกมาตรการป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ในเรือนจำต่าง ๆ คือ การงดเว้นการเยี่ยม การงดเว้นการนำผู้ต้องขังออกไปทำงานภายนอกเรือนจำ การงดเว้นการให้บุคคลภายนอกเข้ามาทำกิจกรรมภายในเรือนจำ การคัดกรองผู้ต้องขังเข้าใหม่ การให้ผู้ต้องขังสวมหน้ากากและล้างมือเป็นประจำ ดังที่ทราบทั่วกันนั้น

           สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) เห็นว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของคนไทยหรือของคนทั่วโลก และเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินต่อความอยู่รอดของมนุษย์ และเห็นว่าสิทธิการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลทุกคนตามข้อที่ 12 แห่งกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยรัฐมีหน้าที่ในการป้องกันภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่สามารถคาดการณ์ได้และให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ อีกทั้งรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 47 วรรคแรก กำหนดว่าบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ วรรคสาม กำหนดว่าบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งยังกำหนดหน้าที่รัฐตามมาตรา 55 ว่า รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงเสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรคและส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

            หลักสิทธิการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพดังกล่าวคุ้มครองบุคคลทุกคน แม้บุคคลที่ถูกจำกัดอิสรภาพ เช่น ผู้ต้องขัง ซึ่งสอดคล้องหลักมาตรฐานขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (ข้อกำหนด เนลสันแมนเดลา) ที่กำหนดว่า “…ผู้ต้องขังควรได้รับการบริการด้านสุขภาพตามมาตรฐานเช่นเดียวกับที่รัฐจัดให้กับประชาชนทั่วไป และจะต้องสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่จําเป็นโดยไม่คิดมูลค่า และไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสถานภาพด้านกฎหมาย”

          ด้วยข้อเท็จจริงและหลักสิทธิด้านสุขภาพดังกล่าว สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) เห็นว่า แม้กรมราชทัณฑ์จะใช้มาตรการต่างๆดังกล่าวมาข้างต้น ซึ่งบางมาตรการมีผลในการจำกัดสิทธิของผู้ต้องขังเป็นอย่างมากจนก่อให้เกิดความไม่สงบในเรือนจำบางแห่ง แต่ถึงกรระนั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในเรือนจำได้ จึงสมควรให้มีการใช้มาตรการปล่อยตัวผู้ต้องขังในภาวะฉุกเฉินเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด19 ดังที่หลายประเทศได้ใช้มาตรการเหล่านี้ไปแล้ว โดย สสส. เห็นพ้องกับหลักการตามข้อเสนอของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศ (องค์การมหาชน) โดยให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังบางกลุ่มที่สมควรอยู่ในเรือนจําน้อยที่สุด โดยพิจารณาจากลักษณะความผิด ซึ่งต้องไม่ใช้กับผู้ต้องขังคดีร้ายแรง ความประพฤติ โทษคงเหลือ ตลอดจนภาวะความเสี่ยงด้านสุขภาพ โดยใช้หลักเกณฑ์ วิธีการหรือมาตการต่างๆ ที่เหมาะสม อาทิ การปล่อยก่อนกำหนด การพักโทษ การปล่อยตัวชั่วคราว และการเปลี่ยนโทษจำคุกที่เหลือเป็นการควบคุมตัวที่บ้าน ดังต่อไปนี้

  1. ผู้ต้องขังระหว่างที่คดียังไม่เสร็จเด็ดขาด ประกอบด้วย ผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างการสอบสวน การไต่สวนพิจารณา และการอุทธรณ์ฎีกา รวมทั้งผู้ถูกกักกัน ผู้ต้องกักขัง
  2. ผู้ต้องขังเด็ดขาดที่อายุมากกว่า 60 ปี
  3. ผู้ต้องขังเด็ดขาดที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคระบบการหายใจเรื้อรัง และโรคมะเร็ง
  4. ผู้ต้องขังหญิงที่ตั้งครรภ์
  5. ผู้ต้องขังเด็ดขาดที่เหลือโทษจําคุกตั้งแต่ 1 ปีลงไป
  6. ผู้ต้องขังเด็ดขาดกลุ่มคดีอื่นๆ ที่มีความผิดไม่ร้ายแรง (อาทิ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ร.บ.การพนัน คดีลหโุทษ ฯลฯ)
  7. ผู้ต้องขังคดีเกี่ยวกับการการมีส่วนร่วมสาธารณะ และผู้ต้องขังคดีที่มีสาเหตุทางการเมือง

           สสส. ยืนยันว่า ก่อนการปล่อยตัวผู้ต้องขัง จากสถานที่คุมขัง ควรกำหนดแนวทางและมาตรการการคัดกรองด้านสุขภาพก่อนการปล่อยตัว การให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ควรมีการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐ เพื่อจัดให้มีระบบการดูแลและการติดตามที่เหมาะสมเท่าที่จำเป็น ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือในการดำรงชีพ และการประกอบอาชีพตามความจำเป็นของแต่ละบุคคลต่อไป

           จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

 

                                                                       ขอแสดงความนับถือ

                                                                                    

                                                                          นายนิกร วีสเพ็ญ

                                                           ประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)